“เกาต์” เป็นโรคเรื้อรังที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการอักเสบอย่างรุนแรง ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกตามข้อต่าง ๆ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม แดงบริเวณข้ออย่างเฉียบพลัน โดยโรคเกาต์ พบได้บ่อยในผู้ชายและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสามารถดูแลตนได้อย่างถูกต้อง วันนี้ aufarm.shop มีอาการปวดข้อของเกาต์และอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวด มาแนะนำเป็นความรู้ครับ
โรคเกาต์ คืออะไร ?
โรคเกาต์ คือการที่ร่างกายของคนเรารมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเกินจุดอิ่มตัว จนทำให้เกิดการตกตะกอนเป็นผลึกเกลือยูเรต เมื่อผลึกเหล่านี้ไปสะสมตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะบริเวณข้อ ก็จะทำให้เกิดการอักเสบตามมา เกาต์เป็นโรคที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการบริโภคของผู้ป่วยหรือเกิดจากพันธุกรรม สำหรับอาการกำเริบของโรค ผู้ป่วยที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงอาจจะกลายเป็นโรคเกาต์ในช่วงเวลาใดก็ได้ ภาวะของโรคที่พบได้บ่อยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเป็นเพศชายอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงพบได้บ้างในวัยหลังหมดประจำเดือนอาการของโรค และการอักเสบของเกาต์
- เมื่อเกิดอาการอักเสบ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดข้ออย่างรุนแรง เช่น มีอาการปวดบริเวณข้อ หรือข้อนิ้วหัวแม่เท้า นอกจากอาการปวดแล้วยังมีอาการบวม ผิวหนังตึง แดง และเจ็บมาก แต่จะมีลักษณะจำเพาะคือเมื่ออาการเริ่มทุเลาผิวหนังบริเวณที่ปวดจะลอกและมีอาการคัน
- อาการปวดของผู้ป่วย อาจเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารมากผิดปกติ ทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ และมักเริ่มปวดในเวลากลางคืน
- ส่วนใหญ่อาการปวดจากการอักเสบของโรคเกาต์ มักจะเป็นข้อเดียว จะปวดและอักเสบประมาณ 1 สัปดาห์แล้วจะค่อยๆหายได้เอง
- ผู้ป่วยเป็นโรคเกาต์ ระหว่างที่ไม่มีอาการปวดหรืออักเสบ จะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ทำให้ผู้ป่วยขาดความระมัดระวังเกี่ยวกับการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มบางประเภทที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
- เมื่อเกิดอาการอักเสบหรือปวดข้อ ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเกาต์
เกาต์ เมื่อมีอาการแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษาหรือไม่ไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง ก็จะกลายเป็นโรคเรื้อรังที่มีภาวะแทรกซ้อนได้เช่นเดียวกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้แก่- มีปุ่มผลึกกรดยูริกในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้มีลักษณะเป็นก้อนนูนจนส่งผลเสียต่อบุคลิกและภาพลักษณ์
- ผู้ป่วยที่ควบคุมอาการของโรคได้ไม่ดีและปล่อยให้เป็นโรคเรื้อรัง อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบ และไตวายจนทำให้เสียชีวิตได้
- ผู้ป่วยเกาต์ ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะข้อพิการได้
แนวทางการรักษาโรคเกาต์
แนวทางการรักษานอกจากการทานยาไปตลอดชีวิตและการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด การรักษาโรคเกาต์ ยังมีแนวทางอื่นโดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องทานยาไปตลอด ซึ่งการรักษาทำได้ 2 แนวทาง ดังนี้1. แนวทางการรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา
สำหรับการรักษาด้วยวิธีนี้ ต้องเริ่มจากการดูแลตนเองของผู้ป่วย เช่น การลดน้ำหนักในรายที่น้ำหนักตัวมากเกินไป การดื่มน้ำให้มากเพื่อช่วยการขับกรดยูริกออกทางไต งดการดื่มสุราและแอลกอฮอล์ทุกชนิด ลดการรับประทานอาหารประเภทเครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก พืชผักที่มีกรดยูริก และอาหารทะเล ซึ่งการรับประทานอาหารเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องงดหรือเลิกทานเพียงลดปริมาณการรับประทานลงเท่านั้น2. วิธีปฏิบัติตัวไม่ให้โรคเกาต์กำเริบ
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากไม่ทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น ลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ผลการรักษาโรคเกาต์เป็นไปด้วยดี โดยผู้ป่วยต้องมีส่วนร่วม ดังนี้- ทำความเข้าใจ และเรียนรู้สาเหตุของโรค และสิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เพื่อดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
- รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกำเริบของโรค หากปฏิบัติตัวดูแลตนเองอย่างถูกต้อง ยังลดความเสี่ยงต่อการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดอีกด้วย
- ทานอาหารให้สมดุลและถูกส่วน ทานให้ครบทุกหมวดหมู่ ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 3000 มิลลิลิตร
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
- ต้องพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด เพื่อติดตามผลการรักษา ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อดูระดับกรดยูริก และตรวจการทำงานของตับและไตเป็นระยะ ๆ
- ผู้ป่วยควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่รุนแรงและมีผลกระทบต่อข้อที่อักเสบ
-
฿990.00
฿1,780.00callo complex 1 กล่อง แถม คอลลาเจน 3 ซอง
฿990.00฿1,780.00