ในความเป็นจริงโรคเครียดหรือความเครียด เป็นสภาวะทางอารมณ์ของคนเราที่กำลังเผชิญหรือต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ แม้กระทั่งสภาวะความไม่ปกติของร่างกายก็ส่งผลทำให้ร่างกายและจิตใจของเราเสียสมดุล เมื่อหาทางออกไม่ได้เราก็จะเกิดความเครียดขึ้นมา โรคเครียด ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร เกิดขึ้นแล้วมีวิธีดูแลรักษาหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบครับ
โรคเครียดคืออะไร
ในทางการแพทย์ โรคเครียด คือ ภาวะที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญแรงกดดัน จากเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถหาทางออกได้ ซึ่งสภาวะดังกล่าวส่งผลให้ร่างกายและภาวะด้านจิตใจ เกิดความเครียด ซึ่ง ความเครียดนั้นสามารถเกิดได้กับทุกคน ในคนปกติทั่วไปจะสามารถคลายความเครียดได้แต่ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคเครียดไม่สามารถทำให้อาการเครียดลดน้อยลงได้และอาจเป็นมากขึ้น
สาเหตุของโรคเครียด
โรคเครียด เป็นสาเหตุลำดับต้นๆของโรคทางด้านจิตเวช ปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ส่วนสาเหตุหลัก ๆ มีอยู่ 2 ด้าน ดังนี้
1. ความเครียดจากภายในร่างกาย
กรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความเครีดเช่น มารดาที่กำลังตั้งครรภ์มีความเครียดเมื่อคลอกบุตรออกมาสามารถส่งผลให้เด็กได้รับผลกระทบไปด้วย รวมถึงการมีบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ปู่ ย่าหรือตา ยาย เคยป่วยด้วยโรคเครียด รวมทั้งการเจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวก็ส่งผลกับความเครียดเช่นกัน
2. ความเครียดจากภายนอกร่างกาย
ความเครียดจากภายนอก เกิดขึ้นได้จากหลานปัจจัย เช่น
- สภาพแวดล้อมทั่วไป เช่น มลภาวะ อากาศเสีย เสียงดังเกินไป การอยู่กันอย่างเบียดเสียด ยัดเยียด และอื่น ๆ
- สภาพเศรษฐกิจ เช่นรายได้น้อยกว่ารายจ่าย
- ความรู้สึกตนเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น ต้องพยายามต่อสู้เอาชนะ
- พฤติกรรมความเป็นอยู่ และการใช้ชีวิต
อาการหรือสัญญาณบ่งบอกของความเครียด
- สีหน้าหน้าบึ้งตึงไม่แจ่มใส
- ไม่สนใจตนเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว
- อาการรุ่นแรงอาจมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย และทำร้ายตัวเอง
- ปวดศีรษะเป็นประจำ กินยาไม่หาย
- รู้สึกใจสั่นง่ายและ เหงื่อออกตามตัว และฝ่ามือฝ่าเท้า
- รู้สึกขาดกำลังใจไม่มีแรงรู้สึกอ่อนล้า และไม่อยากทำอะไร
- ระบบขับถ่ายมีปัญหา
- อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย
- สมาธิสั้นลง ไม่สามารถทำในสิ่งเดิม ๆได้
- รู้สึกหมดหวัง ซึมเศร้า
- รู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวล
- ชอบเก็บตัว อยากอยู่แบบคนเดียวเงียบ ๆ
- นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายหรือนอนนาน นอนมากกว่าคนปกติ
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเครียด
- การวินิจฉัยโรคเครียดด้วยตนเอง มีเกณฑ์การวินิจฉัย ดังนี้
- หมั่นสังเกตอารมณ์ของตนเองเช่น อารมณ์หงุดหงิด แทบทั้งวัน
- ขาดความสนใจในกิจกรรมต่าง ๆที่เคยทำหรือเปล่า
- สังเกตน้ำหนักของตนเองว่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก
- การพักผ่อนนอนหลับเป็นอย่างไร
- รู้สึกไม่อย่างพบปะผู้คน หรือไม่
- ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงหรือเปล่า
- มีอาการใจลอย หรือลังเลใจ ไม่แน่ใจในทุก ๆ เรื่องหรือไม่
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่น่าเกิดมา
- ที่สำคัญเคยคิดเรื่องการตาย หรือคิดอยากตายหรือไม่
- การวินิจฉัยโรคเครียดโดยแพทย์ มีเกณฑ์การวินิจฉัย ดังนี้
- ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามอาการทั่ว ๆไปเพื่อให้ทราบการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่มีอาการครั้งแรกไล่มาตามลำดับจนปัจจุบัน
- แพทย์อาจตรวจร่างกาย และอาจส่งตรวจแบบพิเศษเท่าที่จำเป็น ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีโรคทางร่างกายอื่น ๆ เช่น โรคทางจิต
- ในกรณีที่ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต อาจได้รับการตรวจและวินิจฉัยสาเหตุอีกครั้งตามกรรมวิธีของแพทย์ เช่น
-
- สอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รุนแรงที่ผู้ป่วยเคยประสบ
- การใช้สารเสพติด
- กรณีมีโรคประจำตัวอาจเกิดจากผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางอย่าง และปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ
การรักษาและขั้นตอนการรักษาโรคเครียด
1.การรักษาโรคโดยวิธีธรรมชาติบำบัด
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเครียดไม่มากได้แก่การนั่งสมาธิ การฝึกลมหายใจเข้าออก การสวดมนต์ การหากิจกรรมที่ชอบทำให้เพลิดเพลิน การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน พบปะผู้คนรวมถึงการหาคนที่สามารถรับฟังปัญหาของเราได้
2.การใช้ยา
แพทย์อาจต้องจ่ายยารักษาโรคเครียดให้กับผู้ป่วยในบางราย เพราะแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกัน เริ่มจากให้ยาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เช่น ยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวดตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย รวมถึงปัญหาของการนอนหลับ และอาการซึมเศร้า
- กลุ่มยาที่ใช้รักษาในโรคเครียด ได้แก่ เบต้า บล็อกเกอร์ (Beta-Blocker) บรรเทาอาการเจ็บป่วยทางร่างกายเกิดจากฮอร์โมนความเครียดที่ร่างกายออกมา
- กลุ่มยาที่ช่วยในการระงับอาการทางประสาท ไดอะซีแพม (Diazepam) อยู่ในกลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiapines) เป็นยาระงับประสาท แต่ในทางการแพทย์ไม่นิยมนำมาใช้ เว้นแต่บางกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เพราะยาไดอะซีแพมอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการติด
วิธีป้องกันตนเองให้ห่างไกลโรคเครียด
เป็นที่ทราบว่าโรคเครียดเป็นปัญหาสุขภาพที่ป้องกันได้ยากมาก ดังนั้นแนวทางป้องกันที่ดีที่สุดคือการสังเกตอาการตนเองและรีบทำการรักษาให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเรามีอาการแล้วเราควรทำอย่างไรไม่ให้อาการเป็นมากขึ้นดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการโรคเครียดควรดูแลตนเอง โดยการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
- เมื่อเจอสถานการณ์ร้ายแรงที่ไม่อาจควบคุมได้ควรได้รับการรักษาจากแพทย์ เพื่อไม่ให้อาการเครียดเป็นมากขึ้น
- หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอหรือทำกิจกรรมที่ได้พบปะผู้คน และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
- ฝึกสมาธิ หรือเล่นโยคะ
- ฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก
- ไปนวดหรือทำสปา เพื่อให้รางวัลกับร่างกายและเป็นการผ่อนคลายที่ดี
- หางานอดิเรกที่ชอบทำในยามที่ว่าง เช่น การเล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลงหรืออ่านหนังสือ
- ออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆหรือหมู่ญาติ เพื่อจะได้พดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ฯลฯ
ความเครียดหรือโรคเครียด เป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ ดังนั้นการหมั่นสังเกตตนเองและคนรอบข้างถือเป็นเรื่องที่ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยโรคเครียดนี้ก็ยังสามารถรักษาได้ถ้าเราทราบตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มที่ตัวเราก่อนและต่อไปคือคนที่คุณรัก ญาติพี่น้องต่อด้วยเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง
-
฿990.00
฿2,770.00Cordy Plus (60 แคป) แถมเห็ดหลินจือแดงสกัด
฿990.00฿2,770.00 -
฿790.00
฿1,380.00เห็ดหลินจือแดงสกัด (250 มก.) 1 กล่อง แถมชาเห็ดหลินจือ 1 กล่อง
฿790.00฿1,380.00 -